ปฐมบทแห่งตำนาน: เมื่อนาคาสาปให้ทะเลกลายเป็นทุ่ง
เรื่องราวการกำเนิดของบ่อพันขันและทุ่งกุลาร้องไห้ถูกเล่าขานสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ทั้งจากคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่และการบันทึกในอดีต ตำนานได้กล่าวถึงโลกในยุคที่ทุ่งกุลาร้องไห้ยังเป็นทะเลสาบน้ำเค็มกว้างใหญ่ไพศาล ณ ริมทะเลสาบแห่งนี้ มีนครรัฐตั้งอยู่สองแห่ง เมืองหนึ่งชื่อ "เมืองจำปาขัน" (หรือจำปานาคบุรี) ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกใกล้กับบริเวณบ่อพันขันในปัจจุบัน เป็นเมืองที่พญานาคผู้เป็นสหายของเจ้าเมืองให้การคุ้มครองดูแล ส่วนอีกฟากของทะเลสาบคือ "เมืองบูรพานคร" ชนวนเหตุแห่งความขัดแย้งเริ่มต้นขึ้นจากเรื่องรักของหนุ่มสาวเมื่อท้าวฮาดคำโปงและท้าวอุทร โอรสและหลานของเจ้าเมืองบูรพานคร สำเร็จวิชาจากอาจารย์และกำลังเดินทางกลับเมือง อาจารย์ได้สั่งให้ทั้งสองทดลองวิชาความรู้ของตนระหว่างทาง โชคชะตานำพาทั้งสองมายังเมืองจำปาขัน และได้พบกับนางแสนสีและนางคำแพง ธิดาและหลานสาวของเจ้าเมืองจำปาขันผู้เลอโฉม ท้าวทั้งสองเกิดจิตปฏิพัทธ์ จึงใช้อุบายลักพาตัวนางทั้งสองขึ้นเรือสำเภามุ่งหน้าออกสู่ท้องทะเลกว้างใหญ่
เมื่อเจ้าเมืองจำปาขันทราบเรื่องก็ร้อนใจเป็นอันมาก จึงไปขอความช่วยเหลือจากสหายเก่าคือพญานาคผู้อาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งนั้น พญานาคผู้รักษาสัจจะสัญญาที่จะคุ้มครองเมืองจำปาขันจึงสำแดงฤทธาบันดาลให้น้ำทะเลที่อยู่เบื้องหน้าเรือสำเภาของท้าวทั้งสองเหือดแห้งลงในฉับพลัน ผลจากอิทธิฤทธิ์ครั้งนี้ทำให้สรรพสัตว์น้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ในทะเลล้มตายเป็นจำนวนมหาศาล กลิ่นเน่าเหม็นของซากสัตว์ลอยคละคลุ้งไปไกลจนถึงสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ร้อนถึงพระอินทร์ผู้เป็นใหญ่ต้องหาทางแก้ไข
บ่อน้ำสร่างครกที่ตั้งอยู่บริเวณริมหนองพันขันก่อนการสร้างฝายกั้นน้ำในปี พ.ศ. 2524 ยังมีสภาพดั้งเดิม เป็นเพียงตาน้ำขนาดเล็ก
ที่ปากบ่อวางก้อนหินหรือก้อนอิฐขนาดพอให้เหยียบเพื่อตักน้ำได้ (ภาพ : ศรีศักร วัลลิโภดม ถ่ายภาพราวปี พ.ศ. 2523)
กำเนิดภูมินาม: รอยเท้าเทวาและปัญญาพุทธองค์
พระอินทร์ไม่อาจทนกลิ่นเหม็นเน่าได้ จึงมีบัญชาให้พญาอินทรีสองผัวเมียลงมากินซากสัตว์ในทะเลที่แห้งเหือดนั้นให้หมดสิ้น พญาอินทรีเมื่อกินจนอิ่มหนำก็ได้ถ่ายมูลทิ้งไว้เป็นกองมหึมา ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นที่มาของชื่อ "โพนขี้นก" เนินดินขนาดใหญ่ที่ปรากฏอยู่กลางทุ่งกุลาร้องไห้มาจนทุกวันนี้ เมื่อกินซากสัตว์จนหมดสิ้นแล้ว พญาอินทรีก็บินกลับขึ้นไปทูลถามพระอินทร์ว่าจะให้กินอะไรเป็นอาหารต่อไป พระอินทร์เกรงว่าจะเป็นบาปหากสั่งให้ไปกินสัตว์มีชีวิต จึงตรัสว่า "สิ่งที่เจ้าจะกินได้ ก็คือสิ่งที่เจ้าฝันว่าได้กิน"
กาลต่อมา คืนหนึ่งพญาอินทรีสองผัวเมียฝันว่าได้กินพญาช้างสาร จึงพากันบินไปยังดงน้ำเปียกหรือดงสะตึก (ปัจจุบันคืออำเภอสะตึก จังหวัดบุรีรัมย์) ซึ่งเป็นที่อยู่ของพญาช้างสาร เมื่อไปถึงก็แจ้งแก่พญาช้างสารว่าตนได้รับบัญชาจากพระอินทร์ให้มากินท่านเป็นอาหาร พญาช้างสารไม่ปักใจเชื่อ จึงต่อรองขอให้พญาช้างเคล้าคลึงผู้เป็นเสนาขึ้นไปทูลถามความจริงจากพระอินทร์บนสวรรค์เพื่อประวิงเวลา เมื่อพญาช้างเคล้าคลึงไปเข้าเฝ้า พระอินทร์กลับตอบตามสัตย์ว่าตนไม่ได้สั่งให้ไปกินพญาช้างสาร แต่บอกเพียงว่าให้กินสิ่งที่ฝันว่าได้กินเอง พญาช้างเคล้าคลึงจึงย้อนถามด้วยปัญญาว่า "เช่นนั้นหากข้าพระองค์ฝันว่าได้หลับนอนกับพระนางสุชาดา มเหสีของท่าน ก็สามารถทำได้ใช่หรือไม่" พระอินทร์ถึงกับนิ่งอึ้งไป เพื่อไม่ให้เสียสัตย์จึงไม่อาจตรัสตอบเป็นอื่นได้ แต่ทรงออกอุบายให้เหล่าเทพธิดาออกมาร่ายรำขับกล่อม ทำให้พญาช้างเคล้าคลึงเพลิดเพลินจนลืมวันเวลาที่นัดหมายไว้กับนายของตน ฝ่ายพญาอินทรีเมื่อรอจนเกินกำหนดจึงเข้าสังหารพญาช้างสารเสีย แล้วคาบเอาชิ้นส่วนต่างๆ ของร่างกายไปทิ้งไว้ตามที่ต่างๆ กลายเป็นตำนานที่มาของชื่อบ้านนามเมืองอีกหลายแห่งในเขตทุ่งกุลาร้องไห้
บ่อน้ำสร่างครกที่ได้รับการพัฒนาช่วงปี พ.ศ. 2559 และบริเวณหนองน้ำของบ่อพันขันก็ได้รับการพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเช่นกัน
ปากบ่อน้ำสร่างครกที่ได้รับการปรับปรุงให้มีขอบบ่อสูงขึ้นราว 50 เซนติเมตร ซึ่งปรากฏว่าหลังสร้างไม่มีน้ำผุดขึ้นมาอีก
ชาวบ้านรอบๆ บ่อพันขันต่างกังวลถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยถือเป็นลางบอกเหตุหรืออาเพศที่จะนำความเดือดร้อนมาสู่ชาวบ้านได้
ภายหลังจึงช่วยกันทุบออก ทำให้มีน้ำผุดขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากได้ลิ้มรสเลือดเนื้อของพญาช้างสาร พญาอินทรีสองผัวเมียก็เกิดความกำเริบเสิบสาน คิดอยากจะกินเนื้อมนุษย์และสัตว์ทั้งปวงบนโลกมนุษย์ สร้างความเดือดร้อนหวาดกลัวไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ความทุกข์ยากของเหล่าสรรพสัตว์ได้ทราบไปถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์จึงได้โปรดให้พระมหาโมคคัลลานเถระ ผู้เป็นเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์มาก ลงมาปราบพยศของพญาอินทรี พระเถระได้เหาะมายังดงท้าวสาร (ดงช้างสาร) และได้เข้าฌานเตโชกสิณ บันดาลให้เกิดเปลวไฟแผดเผาร่างของพญาอินทรีจนสิ้นใจ ร้องเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เสียงร้องโหยหวนนั้นทำให้ฝูงพญานาคที่จำศีลอยู่ใต้บาดาลใกล้ๆ บริเวณนั้นตกใจตื่น จึงพากันโผล่ขึ้นมาจากบ่อพ่นพิษอันมีรสเค็มจัดกระจายไปทั่วแผ่นดินและผืนฟ้า พิษของนาคเมื่อถูกตาของมนุษย์ก็ทำให้ตาบอด บ้างก็ถึงกับลูกตากระเด็นออกมา กลายเป็นที่มาของชื่อ "บ้านตาเด็น" ซึ่งเพี้ยนมาเป็น "บ้านตาเณร" ในปัจจุบัน
เมื่อเห็นดังนั้น พระมหาโมคคัลลานเถระจึงต้องเข้าฌานเตโชกสิณอีกครั้ง สร้างเปลวไฟไปปิดปากบ่อพญานาคไว้เพื่อไม่ให้ขึ้นมาพ่นพิษได้อีก และเพื่อความมั่นคง พระองค์จึงทรงตั้งจิตอธิษฐานใช้เท้าซ้ายเหยียบชายจีวรประทับทับปากบ่อไว้อีกชั้นหนึ่ง และใช้เท้าขวาเหยียบชายจีวรอีกข้างไว้ เชื่อกันว่าปรากฏร่องรอยเป็นแผ่นหินขนาดใหญ่ที่มีลักษณะริ้วรอยคล้ายรอยพับของจีวรพระในบริเวณหนองพันขัน แต่ด้วยพระเมตตาของพระเถระเกรงว่าชาวบ้านจะไม่มีน้ำจืดไว้บริโภคอันเนื่องมาจากพิษนาคและความเค็มของทะเลที่เหือดแห้งไป พระองค์จึงได้ใช้นิ้วชี้จิ้มลงไปบนแผ่นหินที่ประทับรอยจีวรไว้ บันดาลให้แผ่นหินแตกออกเป็นตาน้ำพุขนาดเท่าขันน้ำ น้ำที่ผุดขึ้นมานั้นเป็นน้ำจืดสนิท ชาวบ้านจึงเรียกขานกันว่า "น้ำสร่างครก" และได้อาศัยเป็นแหล่งน้ำจืดสำคัญกลางดงดินเค็มมาตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน
เมื่อถึงฤดูแล้ง ชาวบ้านจะสร้างตูบเพื่อทำกิจกรรมต้มเกลือไว้บริโภคและขาย ภาพนี้น่าจะบันทึกก่อนปี พ.ศ. 2524
เป็นบริเวณพื้นที่บ้านตาเณรซึ่งเป็นแหล่งทำเกลือขนาดใหญ่ และเป็นช่วงเวลาก่อนจะสร้างฝายกั้นลำน้ำเสียว (ภาพ : ศรีศักร วัลลิโภดม)
สภาพบ่อพันขันที่มีน้ำเกือบตลอดทั้งปี หลังจากสร้างฝายกั้นลำน้ำเสียวที่บริเวณรอยต่อของบ้านหญ้าหน่องกับบ้านหนองคูณ
ทำให้กิจกรรมการต้มเกลือของชาวบ้านรอบบ่อพันขันค่อยๆ หายไป
ตำนานบทนี้ไม่เพียงแต่อธิบายที่มาของความเค็มในดินและน้ำของทุ่งกุลาร้องไห้และบ่อพันขันได้อย่างเห็นภาพ แต่ยังทำหน้าที่เป็น "จินตภูมิศาสตร์" (Imaginative Geography) บอกเล่าที่มาของชื่อบ้านนามเมืองต่างๆ ที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายครอบคลุมพื้นที่เกือบทั้งหมดของทุ่งกุลา ที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือ ตำนานยังสอดคล้องกับหลักฐานทางโบราณคดีที่บ่งชี้ว่าพื้นที่ใกล้บ่อพันขันมีการตั้งถิ่นฐานเป็นบ้านเมืองใหญ่โตมาแต่โบราณ เช่น ซากเมืองโบราณ "ดอนขุมเงิน" และศาสนสถานแบบขอมที่พบในบริเวณนี้
ศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ได้วิเคราะห์ไว้ว่า การทำเกลือที่บ่อพันขันนั้นน่าจะมีความสำคัญและเป็นแหล่งผลิตขนาดใหญ่มาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 16 ซึ่งสัมพันธ์กับอาณาจักรขอมสมัยเมืองพระนครอย่างไม่ต้องสงสัย ตำนานและหลักฐานจึงต่างชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า บ่อพันขันคือแหล่งทรัพยากรที่สำคัญยิ่งและเป็นที่รู้จักของผู้คนในภูมิภาคนี้มาอย่างยาวนาน
ผลึกเกลือที่ตักขึ้นใส่ตะกร้าเพื่อรอให้สะเด็ดน้ำ