ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2568 กองบรรณาธิการวารสารเมืองโบราณมีโอกาสได้ติดตามอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มหาวีรวงศ์ จ.นครราชสีมา ภายในอาคารจัดแสดงชั้นเดียว อัดแน่นไปด้วยโบราณวัตถุตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์เรื่อยมา รวมทั้งศิลปวัตถุบางส่วนที่ได้รับประทานจากสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) อดีตเจ้าอาวาสวัดสุทธจินดาและที่รับมอบจากชาวบ้านในพื้นที่ เช่น ภาชนะดินเผาทรงปากแตรจากแหล่งโบราณคดีบ้านปราสาท ต.ธารปราสาท อ.โนนสูง กลองมโหระทึกจากบ้านนายหลั่น พรหมเสนา อ.ปักธงชัย ชิ้นส่วนจารึกเหนือวงกบประตูจากปราสาทเมืองแขก อ.สูงเนิน จารึกบ้านพันดุงจากบ้านพันดุง อ.ขามทะเลสอ องค์ธาตุท้าวสุรนารี และเสาหลักเมืองสมัยรัตนโกสินทร์ เป็นต้น

อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ขณะนำกองบรรณาธิการวารสารเมืองโบราณเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มหาวีรวงศ์

โบราณวัตถุบางส่วนที่จัดแสดงภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มหาวีรวงศ์

ภาชนะดินเผาทรงปากแตรจากแหล่งโบราณคดีบ้านปราสาท ต. ธารปราสาท อ.โนนสูง

กลองมโหระทึกจากบ้านนายหลั่น พรหมเสนา อ.ปักธงชัย

ชิ้นส่วนจารึกเหนือวงกบประตูจากปราสาทเมืองแขก อ.สูงเนิน

ทับหลังสลักรูปเทพนพเคราะห์

จารึกบ้านพันดุงจากบ้านพันดุง อ.ขามทะเลสอ

เสาหลักเมืองสมัยรัตนโกสินทร์
โบราณวัตถุชิ้นสำคัญที่อาจารย์ศรีศักรให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือ “พระพุทธรูปหินทราย” ประทับยืน ศิลปะสมัยทวารวดี จำนวน 3 องค์ ป้ายด้านหน้าระบุที่มาว่าพบจาก “บ้านดอนขวาง ต.ทัพรั้ง อ.พระทองคำ จ.นครราชสีมา” หนังสือโบราณวัตถุชิ้นเด่นในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มหาวีรวงศ์ ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2556 กล่าวถึงพระพุทธรูปหินทรายสมัยทวารวดี 1 ใน 3 องค์ ที่พบจากบ้านดอนขวางซึ่งจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ฯ ว่า “พระพุทธรูปมีความสูง 155 เซนติเมตร กว้าง 52 เซนติเมตร พระพุทธรูปยืนพระองค์ตั้งตรง พระหัตถ์และพระบาทหักหายไปทั้งสองข้าง พระเศียรและพระชงฆ์หักเป็นสองท่อนต่อกันไว้ พระพักตร์ค่อนข้างเหลี่ยม พระขนงนูนต่อกันเป็นปีกกา พระเนตรนูนเหลือบมองต่ำ พระนาสิกได้รูป พระโอษฐ์สลักเป็นร่องลงไปและแสดงอาการยิ้ม พระกรรณค่อนข้างยาว ขมวดพระเกศาเป็นเม็ดขนาดใหญ่ อุษณิศะนูนขึ้นมา บริเวณพระกรสลักเป็นร่องสำหรับนำเดือยส่วนพระหัตถ์ที่หักหายไปมาสวมเข้ากันอีกทีทรงแสดงปางวิตรรกะ (ประทานธรรม) ครองจีวรห่มคลุม ขอบจีวรด้านหน้าตกลงมาเป็นวงโค้งเหนือขอบสบงซึ่งตกลงมาตรงๆ ถึงข้อพระบาท ส่วนขอบจีวรด้านข้างผายออกมาทั้งสองด้านแสดงความได้สัดส่วนอย่างแท้จริง สำหรับพระพุทธรูปแบบทวารวดีมักสลักด้วยศิลา แต่ที่หล่อด้วยสำริดก็มีบ้างเช่นกัน ส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็ก”

พระพุทธรูปสมัยทวารวดี 3 องค์ พบที่บ้านดอนขวาง

พระพุทธรูปหินทราย สมัยทวารวดี องค์ที่ถูกบรรยายไว้ในหนังสือโบราณวัตถุชิ้นเด่นในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มหาวีรวงศ์

พระพุทธรูปหินทราย สมัยทวารวดี พบที่บ้านดอนขวาง ประทับยืน ส่วนพระหัตถ์และพระบาทหักหายไปทั้งสองข้าง ด้วยเป็นชิ้นส่วนที่มีเดือยต่อ

พระพุทธรูปหินทราย สมัยทวารวดี พบที่บ้านดอนขวาง ประทับยืน พบเพียงชิ้นส่วนพระองค์ส่วนบนและพระเศียร

พระพุทธรูปหินทราย สมัยทวารวดี พบที่บ้านดอนขวาง
จากนั้นอาจารย์ศรีศักรนำกองบรรณาธิการฯ ไปสำรวจที่ “บ้านดอนขวาง” ซึ่งอยู่ห่างจากพิพิธภัณฑ์ฯ ไปทางทิศเหนือราว 60 กิโลเมตร บ้านดอนขวาง เป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก ล้อมรอบด้วยผืนนากว้างไกล หมู่บ้านตั้งอยู่ทางทิศเหนือของโรงเรียนบ้านดอนขวาง มีคลองกุดตาดำซึ่งชาวบ้านในพื้นที่เรียกว่าคลองยางเป็นลำน้ำสำคัญที่หล่อเลี้ยงชาวบ้านมาเนิ่นนาน ลำน้ำจากคลองยางมีทางน้ำที่ไหลเชื่อมต่อกับทางน้ำสายเล็กสายรองไหลไปลงลำเชียงไกรและแม่น้ำมูลที่อยู่ห่างลงไปทางทิศใต้ได้
ชาวบ้านในพื้นที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าตำแหน่งที่พบชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินทรายสมัยทวารวดีทั้งหมดอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของบ้านดอนขวาง หมู่ 3 เป็นการพบจากการขุดลอกคลองยาง กล่าวคือเมื่อราวปี พ.ศ. 2532 โครงการอีสานเขียวหรือโครงการน้ำพระทัยจากในหลวงได้เข้ามาทำการขุดลอกคลองยางที่ตื้นเขินให้ทางน้ำไหลได้สะดวก ขณะดำเนินงานกรมทหารช่างที่ 11 ชุดปฏิบัติการที่ 2 ได้พบพระพุทธรูปหินทรายกลุ่มหนึ่งซึ่งแต่ละองค์อยู่ในสภาพชำรุดแตกหักออกเป็นหลายส่วน เจ้าหน้าที่และชาวบ้านจึงตัดสินใจมอบชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินทรายทั้งหมดให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มหาวีรวงศ์เก็บรักษาดูแลมาจนทุกวันนี้

คลองกุดตาดำหรือชาวบ้านเรียกว่า “คลองยาง” อยู่ทางทิศตะวันตกของบ้านดอนขวาง
ตำแหน่งที่พบพระพุทธรูปหินทรายสมัยทวารวดีจากการขุดลอกคลองเมื่อปี 2532 มีพิกัดภูมิศาสตร์ คือ 15.395945, 101.985734
ทั้งนี้ ชาวบ้านเล่าว่านอกจากพระพุทธรูปหินทรายแล้ว ยังมีผู้พบชิ้นส่วนภาชนะดินเผาจากคลองยางอยู่เสมอ