เขาคิชฌกูฏ
บรรยากาศบนเขาคิชฌกูฏ
“เขาคิชฌกูฏ” หากเอ่ยชื่อสถานที่นี้ออกมา ไม่มีใครแทบไม่รู้จักที่นี่เลย เพราะที่นี่คือยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ด้านบนยอดเขาเป็นที่ประดิษฐานของรอยพระพุทธบาท
“เขาคิชฌกูฏ” ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ ต.พลวง กิ่ง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี ที่จังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของรอยพระพุทธบาท ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,085 เมตร ถือว่าสูงที่สุดในเขตอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏและเป็นรอยพระพุทธบาทที่สูงที่สุดในประเทศไทย
ในทุกๆวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 3 ถึง วันแรม 15 ค่ำ เดือน 4 ของทุกปี เป็นระยะเวลา 2 เดือน จะมีการเปิดให้ขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทบนยอดเขาคิชฌกูฏเป็นประจำทุกปี ซึ่งในแต่ละปีจะมีชาวพุทธศาสนิกชนจากทุกทั่วสารทิศหลั่งไหลขึ้นไปกราบสักการะเป็นจำนวณมาก โดยปี พ.ศ.2563 นี้จะตรงกับวันที่ 25 มกราคม - 24 มีนาคม
การเดินทางขึ้นเขาจะไม่สามารถนำรถส่วนตัวขึ้นไปเองได้ เนื่องจากทางขึ้นลาดชันและคดเคี้ยว จึงได้มีจุดบริการรถขึ้นเขา 2 จุดด้วยกัน จุดแรกคือวัดพลวงและอีกจุดคือวัดกระทิง โดยจะมีรถสองแถวพาขึ้นไปถึงด้านบนเขาระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร และถึงด้านบนต้องเดินขึ้นอีกประมาณ 1.2 กิโลเมตร
เหล่าพุทธศาสนิกชนหลั่งไหลขึ้นมาสักการะรอยพระพุทธบาท
รอยพระพุทธบาทที่ปรากฏให้เห็นทุกวันนี้มี 2 รอย ทั้ง 2 รอยมีการก่อปูนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าทาสีทองล้อมไว้ พระพุทธบาทรอยใหญ่อยู่ด้านขวา เชื่อว่าเป็นรอยพระพุทธบาทดั้งเดิม ทางซ้ายเป็นรอยพระพุทธบาทจำลอง มีขนาด เล็กกว่า สร้างขึ้นโดยแม่ชีท่านหนึ่งที่ขึ้นมาปฏิบัติธรรม รอย พระพุทธบาททั้ง 2 รอยตั้งอยู่บนลานหินกว้างที่ลาดเอียง ไปทางทิศตะวันตก ไม่ไกลจากหินลูกบาตร ซึ่งเป็นก้อนหิน เกลี้ยงรูปสี่เหลี่ยมมุมมนเกือบกลมขนาดใหญ่ ไม่มีต้นไม้ ขึ้นปกคลุม จึงสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล นายเจริญ สิงห์น้อย เคยเล่าถึงความอัศจรรย์ของหินลูกบาตรไว้ใน จดหมายถึงคุณธรรมนูญ ศุภผล ลงวันที่ 25 กันยายน 2513 ความว่า “...ประมาณ 80 ปีให้หลังมา มีพระอาจารย์ชด วัด ท่าหลวงล่าง ได้เป็นผู้ทดลองเอาด้ายสายสิญจน์คล้องลอดใต้ ลูกรอยพระบาท ปรากฏว่าลอดไปได้อย่างสบายและไม่ขาด คล้ายกับลูกพระบาดลอยอยู่...” นับเป็นอีกความอัศจรรย์ที่ ยังคงเล่าขานถึงทุกวันนี้
ยอดเขาคิชฌกูฏบริเวณรอยพระพุทธบาทและหินลูกบาตร
ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจและตำนานอื่นๆของเขาคิชฌกูฏและรวมถึงจังหวัดจันทบุรีได้ที่ วาสารเมืองโบราณปีที่ 44 ฉบับที่ 1 และสามารถดูสารบัญได้ที่นี่ >>> http://www.muangboranjournal.com/bookpost/1